19-07-2561

คณะรัฐมนตรี รับทราบผลการดำเนินงานการให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

   พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 ถึงวันที่ 11 มิถุนายน 2561 ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบว่า ขณะนี้มีผู้มีสิทธิ์มารับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้วจำนวนกว่า 11 ล้านราย คิดเป็น ร้อยละ 96 พร้อมทั้งได้ติดตั้งเครื่องชำระเงินอิเลคทรอนิกส์ หรือเครื่อง EDC (อีดีซี) ณ จุดจำหน่ายสินค้าแล้วจำนวน 30,460 เครื่อง จากเป้าหมาย 45,655 เครื่อง เหลืออีก 15,195 เครื่องที่ยังไม่ดำเนินการติดตั้ง ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ร้านค้าที่ยังไม่ได้ติดตั้งเครื่อง EDC ให้ดำเนินการโหลดแอปพลิเคชันที่ธนาคารกรุงไทย เพื่อให้สามารถอ่านรหัสบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในการชำระค่าสินค้าได้ ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ดำเนินการจ่ายเงินให้กับร้านค้าที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปแล้วเป็นเงินกว่า 30,700 ล้านบาท ทั้งนี้จากการตรวจสอบการให้บริการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกับร้านธงฟ้าที่ร่วมมือได้รับข้อร้องเรียนว่ามีร้านค้าส่วนหนึ่งเรียกรับเก็บเงินเพิ่มเติมจากการใช้บัตรสวัสดิการโดยแอบอ้างว่าจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 7 ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการเพิกถอนและได้คืนเครื่อง EDC จากร้านธงฟ้าที่ทำผิดหลักเกณฑ์ไปแล้วและจะไม่ให้วางเครื่อง EDC ของโครงการนี้กับร้านค้าที่ถูกเพิกถอนต่อไป ทั้งนี้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฝากเตือนเจ้าของร้านธงฟ้าให้ช่วยรัฐบาลดูแลผู้มีรายได้น้อยและให้รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีทุก 3 เดือน

   พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ยังมีมติเห็นชอบแนวทางการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีน้ำเงิน ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. ได้ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป ยกเว้นรถไฟฟ้า BTS เนื่องจากไม่ได้เป็นคู่สัญญากับกระทรวงคมนาคม และตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้บริการกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์ และรถโดยสารขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ รวมทั้งสามารถใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐในการชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าได้เกินวงเงิน 500 บาทได้ 1 ครั้งต่อเดือน ซี่งวงเงินที่เกินจะนำไปหักจากวงเงิน 500 บาทในเดือนถัดไป ซึ่งจะทำให้ผู้มีสิทธิ์สามารถใช้สิทธิ์ได้เต็มไปตามสิทธิ์