ศาสตราจารย์ นายแพทย์ จรัส สุวรรณเวลา ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษากล่าวว่า จากข้อมูลปัจจุบันพบว่าปัญหาของโรงเรียนเอกชนมีความแตกต่างและนำไปสู่สภาพวิกฤติ มีโรงเรียนเอกชนหลายแห่งที่เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ชั้นดี และมีนักเรียนจำนวนมากตัดสินใจปิดโรงเรียน เพราะกลไก ที่มีอยู่ กฎหมายไม่เอื้อ ไม่สนับสนุนให้ดำเนินกิจการ ส่วนโรงเรียนที่พยายามจะสู้นั้นสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว ซึ่งปัญหาหนึ่งคือการเพิ่มการให้เงินอุดหนุนด้านต่างๆ ให้แก่นักเรียนในโรงเรียนของรัฐในส่วนต่างๆ จึงมีการดึงนักเรียนออกมาโรงเรียนเอกชน ทำให้โรงเรียนเอกชนได้รับเงินอุดหนุนรายหัวน้อยตามจำนวนนักเรียนที่ลดลง ขณะเดียวกันประโยชน์ของโรงเรียนเอกชนนั้นมีมาก เช่น ความเป็นอิสระของโรงเรียนเอกชนสามารถสร้างคุณภาพได้ เนื่องจากมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ซึ่งจากการประชุมที่ผ่านมา ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องความมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการจัดการศึกษา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ที่จะนำไปสู่การปรับแก้ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน โดย กอปศ.เห็นว่า รัฐไม่ควรใช้กลไกอะไรที่ไปทำร้ายโรงเรียนเอกชน ทำให้มีความยากลำบากมากขึ้น จนโรงเรียนบางแห่งต้องเลิกกิจการ โดยเรื่องการแก้ไข พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนนี้เป็นการแก้ไขกฎหมายลูก จะใส่ไว้ในรายละเอียดของแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา เพื่อเป็นการเตรียมรายละเอียดในการดำเนินการ หลังจากที่ กอปศ.ได้เสนอร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ และแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาเรียบร้อยแล้ว

   ด้าน ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า การจัดการศึกษาเป็นหน้าที่ของรัฐ ซึ่งไม่ใช่รัฐจัดเองทั้งหมด แต่ต้องสนับสนุนเอกชน และท้องถิ่น ทั้งนี้ การสนับสนุนจะครอบคลุมทั้งเอกชนที่จัดการศึกษาสายสามัญศึกษา และอาชีวศึกษา ครอบคลุมเรื่องความเสมอภาคของเด็กในโรงเรียนรัฐและเอกชน ที่ต้องได้รับการอุดหนุนต่างๆ เท่ากัน