แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ปัญหาภัยแล้งนอกจากปริมาณน้ำ ที่น้อยลงแล้ว ความสะอาดจะลดลงด้วย ส่งผลให้เกิดการระบาดของโรคทางเดินอาหารและน้ำ เช่น อหิวาตกโรค / อุจจาระร่วง / บิด ดังนั้นหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ควรเตรียมการและสำรองน้ำให้เพียงพอต่อการใช้ภายในหน่วยงาน พร้อมเฝ้าระวังคุณภาพน้ำบริโภคในชุมชนโดยใช้ชุดทดสอบภาคสนาม ตรวจการปนเปื้อนโคลิฟอร์มแบคทีเรีย หากเป็นน้ำประปาควรตรวจปริมาณคลอรีนอิสระในน้ำและแจ้งผลการเฝ้าระวังดังกล่าวให้แก่หน่วยผลิต หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ เพื่อร่วมกันจัดการคุณภาพน้ำ ให้สะอาด ขณะที่ประชาชนควรวางแผนสำรองน้ำไว้ใช้ในช่วงภัยแล้งเพื่อบรรเทาความรุนแรง โดยหาภาชนะ ที่สะอาด ปลอดภัย มีฝาปิด มาสำรองน้ำไว้ใช้ในระยะเวลาหนึ่งตามอัตราการใช้น้ำ 200 ลิตรต่อคนต่อวัน ตรวจสอบภาชนะเก็บกักน้ำที่มีอยู่ นำมาล้างทำความสะอาดเตรียมไว้เพื่อใช้สำรองน้ำในช่วงเกิดภัยแล้ง ช่วยกันดูแลรักษาสภาพของแหล่งน้ำโดยการกำจัดวัชพืช ขุดลอก คู คลอง หนอง บึง สระ ที่เป็นแหล่งน้ำชุมชนให้สะอาดและสามารถเก็บกักน้ำได้มากขึ้น หากเกิดภัยแล้งอาจจะต้องใช้น้ำจากแหล่งน้ำนี้มาผลิตน้ำประปา ส่วนการนำน้ำจากแม่น้ำ ลำคลอง หรือแหล่งน้ำผิวดินแหล่งอื่นๆ มาใช้โดยตรง ควรปรับปรุงคุณภาพน้ำ และฆ่าเชื้อโรคก่อน ด้วยการแกว่งสารส้ม เติมสารละลายคลอรีน ส่วนพื้นที่ทุรกันดารที่ขาดแคลนน้ำสะอาด ควรต้มน้ำให้เดือดอย่างน้อย 1-2 นาที ก่อนนำมาดื่ม นอกจากนี้ควรยึดหลักกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือทุกครั้ง เพื่อสุขอนามัยที่ดี ห่างจากโรคที่มาพร้อมภัยแล้ง