22-08-2562

กระทรวงสาธารณสุข แนะ นักวิ่งมาราธอนอายุ 40-50 ปีขึ้นไป ควรประเมินความพร้อม ของร่างกาย ด้วยการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อให้ออกกำลังกายได้อย่างเหมาะสม

   นายแพทย์สุขุม กาญจพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีนักวิ่งเสียชีวิตซึ่งมีข่าวเป็นระยะ ๆ โดยกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนให้คนไทยออกกำลังกาย ซึ่งปัจจุบันการวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ชายที่มีอายุ 40 ปีและผู้หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป ขอให้ไปรับการตรวจสุขภาพประจำทุกปี ประเมินภาวะและความเสี่ยงสุขภาพ หรือโรคต่าง ๆ เพื่อให้ออกกำลังกายได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยโดยเฉพาะนักวิ่งมาราธอนที่ต้องวิ่งต่อเนื่องในระยะทางไกล จะต้องผ่านการฝึกซ้อมอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่อง เพื่อให้ร่างกายมีการปรับตัวให้พร้อมกับกิจกรรมทางกายที่มีความเข้มข้นสูงและระยะเวลานาน หมั่นประเมินสภาพร่างกาย และเตรียมร่างกายให้มีความพร้อมก่อนวิ่ง ทั้งระบบกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนโลหิตและหายใจ เพื่อป้องกันอาการหน้ามืด หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก เจ็บกล้ามเนื้อ รวมถึงหมดสติและหัวใจหยุดเต้นได้ นักวิ่งจึงควรทานอาหารคาร์โบไฮเดรตให้มากขึ้นก่อนวิ่ง 1 วัน พักผ่อนให้เพียงพอ งดดื่มสุรา และเช้าวันวิ่งควรทานอาหารที่ไม่หนัก เช่น นม กล้วย รวมทั้งเตรียมอุปกรณ์ป้องกันแสงแดด เช่น หมวก / แว่นตากันแดด ครีมกันแดด

   ด้านแพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การวิ่งมาราธอนในระดับโลกนั้น สหพันธ์สมาคมกรีฑานานาชาติ ได้จัดทำมาตรฐานการจัดกิจกรรมวิ่งประเภทถนน โดยเน้นที่การออกแบบการแข่งขัน ทั้งการวางเส้นทาง ความปลอดภัย จัดให้มีน้ำดื่มและอาหาร สิ่งอำนวยความสะดวกกับผู้เข้าร่วมการแข่งขัน สำหรับประเทศไทยพบว่าได้มีการนำมาพัฒนาต่อยอดโดยคณะกรรมการมาตรฐานการจัดงานวิ่งไทย ด้วยการสนับสนุนจากสมาพันธ์ชมรมเดิน-วิ่ง เพื่อสุขภาพไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 และปรับปรุงในปี พ.ศ. 2562 ซึ่งในคู่มือได้ระบุการจัดกิจกรรมวิ่งประเภทถนนไว้ชัดเจนว่าการจัดการแข่งขัน วิ่งมาราธอนต้องมีหน่วยแพทย์ รถพยาบาล ประจำตลอดการแข่งขัน รวมถึงจุดปฐมพยาบาลตลอดเส้นทางการแข่งขัน โดยเฉพาะตำแหน่งที่มีความเสี่ยงสูงว่าอาจมีผู้บาดเจ็บ หรือตำแหน่งที่ยากต่อการเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บนำส่งโรงพยาบาล จุดบริการปฐมพยาบาลหลัก ควรมีเครื่องมือและบุคลากรเทียบเท่ากับจุดให้บริการทางการแพทย์หลังเส้นชัย จุดบริการปฐมพยาบาลระดับรองลงไปควรตั้งอยู่คู่กับจุดให้น้ำ เพื่อปฐมพยาบาลและช่วยให้นักวิ่ง คลายความไม่สบายกาย เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น อาการพองและเสียดสี และเพื่อขนย้ายผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ไปยังสถานที่ซึ่งมีอุปกรณ์รองรับที่เหมาะสมต่อไป โดยควรมีจุดบริการปฐมพยาบาลทุก 5 กิโลเมตร และตั้งอยู่ในระยะประมาณ 100 เมตร หลังจากจุดให้น้ำ