08-10-2562

เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต ร่วมกับ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ จัดเวทีเสวนาหัวข้อ

   นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. กล่าวว่า จากรายงานสถิติผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุมีสูงถึง 24,000 รายต่อปี ในจำนวนนี้กว่าร้อยละ 60 มีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่ากฎหมายกำหนด และกรณีที่เกิดขึ้นกับนักศึกษาเทคนิคศรีสะเกษถือเป็นความสูญเสียที่ร้ายแรง กรณีดังกล่าวเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.รถยนต์ เพราะเป็นการใช้รถผิดประเภทนำรถกระบะมาบรรทุกคน และเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.การจราจรทางบก เนื่องจากใช้ความเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด ที่น่าสนใจและไม่มีใครพูดถึง คือสถานที่จัดเลี้ยงกินดื่มก่อนเกิดเหตุนั้น จัดขึ้นในพื้นที่กิจการโรงงานหรือไม่ เพราะนิยามของคำว่าโรงงานหมายถึงการมีเครื่องจักรตั้งแต่ห้าแรงม้าขึ้นไป หรือมีแรงงานเจ็ดคนขึ้นไป ควรตรวจสอบตรงนี้ด้วยเพราะอาจเป็นความผิดของผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตามโรงงานทุกแห่งต้องเคารพกฎหมายไม่ควรจัดงานเลี้ยงที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อความปลอดภัยไม่สูญเสียและไม่ผิดกฎหมาย

   ด้าน นายแพมย์ธนะพงษ์ จินวงศ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน หรือ ศวปถ. กล่าวว่า เหตุการณ์นี้มีหลายแง่มุมที่ต้องเร่งจัดการเพื่อไม่ให้เกิดซ้ำรอยเดิมอีก อาทิ ด้านสาเหตุอุบัติเหตุซึ่งจากข่าวที่ปรากฏ ก็ชี้ให้เห็นพฤติกรรมเสี่ยงตั้งแต่การดื่มแล้วขับ การขับเร็ว การแซงกระชั้นชิด และการบรรทุกท้ายกระบะจำนวนมาก ซึ่งเพิ่มโอกาสในการพลิกคว่ำมากขึ้นด้วย และด้านสาเหตุการเสียชีวิตเมื่อพลิกคว่ำแบบเทกระจาดด้วยความเร็วสูง บุคคลที่นั่งมาในท้ายกระบะก็จะพุ่งออกมาปะทะกับวัตถุบนท้องถนน ทั้งพื้นถนน, ขอบฟุตบาท, เสาไฟ หรือแม้แต่กำแพงรั้ว ส่งผลต่อการบาดเจ็บรุนแรงและเสียชีวิต

   ทั้งนี้ จากกรณีศึกษาของศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย โดยสอบถามผู้ที่นั่งท้ายกระบะจำนวน 200 คน ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ถึงความเสี่ยงในการนั่งท้ายกระบะ พบว่า ร้อยละ 50 หรือครึ่งหนึ่ง รู้ว่าอันตรายแต่ไม่มีทางเลือก ขณะที่เกือบ 1 ใน 3 หรือ ร้อยละ 30 เห็นว่าไม่เสี่ยงและไม่ได้อันตรายมากกว่าการนั่งในตำแหน่งอื่น นอกจากนี้ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทยยังได้จำลองให้เห็นโอกาสพลิกคว่ำโดยการเปรียบเทียบรถกระบะที่ไม่บรรทุกคน น้ำหนัก 1.5 ตัน จะมีความเสี่ยงในการพลิกคว่ำ ร้อยละ 12 แต่ถ้าบรรทุกคน 10 คน หนักคนละ 60 กิโลกรัม เสี่ยงต่อการพลิกคว่ำ ร้อยละ 28 หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่า และถ้าคนในท้ายกระบะยืนขึ้น จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการพลิกคว่ำขึ้นไปอีก 4 เท่า เมื่อเทียบกับไม่มีการบรรทุกคน นอกจากนี้ผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกายืนยันความเสี่ยงที่ผู้โดยสารนั่งกระบะหลังจะเสียชีวิตมีมากกว่าผู้โดยสารตอนหน้าที่คาดเข็มขัดนิรภัย ถึง 8 เท่า กรณีที่เกิดขึ้นล่าสุด พบว่ามีความเสี่ยง อาทิ การดื่มแอลกอฮอล์ / เมาแล้วขับ / ขับเร็ว / คึกคะนอง และบรรทุกท้ายกระบะจำนวนมาก

   นายแพมย์ธนะพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ทางออกในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ คือ รณรงค์ห้ามนั่งท้ายกระบะกำหนดให้โฆษณารถกระบะ ต้องระบุความเสี่ยงของการนั่งท้ายกระบะ และการนั่งใน space cab ติดตั้งโครงยึดเกาะในกลุ่มที่จำเป็นต้องใช้ เข้มงวดให้บรรทุกไม่เกิน 6 คน และขับไม่เร็วเกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงหน่วยงานองค์กร โรงงานต่าง ๆ ต้องมีมาตรการ กำกับดูแลไม่ให้มีการนั่งท้ายกระบะ หรือถ้าจำเป็นควรมีเงื่อนไขด้านความปลอดภัย อาทิ มีโครงยึดเกาะ ใช้ความเร็วตามกำหนด รถมีการตรวจสภาพพร้อมใช้ และมีประกันภัย นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีข้อกำหนดให้ทุกครั้งที่มีงานรื่นเริงและมีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งานรื่นเริงต้องตั้งจุดตรวจป้องปรามเมื่อมีการบรรทุกท้ายกระบะเกิน 6 คน ตั้งจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ และหากเกิดอุบัติเหตุควรมีการเจาะเลือดตรวจวัดภายใน 1-2 ชั่วโมง ซึ่งในกรณีรถกระบะล่าสุด พบแอลกอฮอล์ของคนขับร้อยละ 38 มิลลิกรัม แต่เป็นผลตรวจหลังเกิดเหตุ 5 ชั่วโมง ซึ่งถ้าตรวจเร็วผลเลือดอาจมากกว่านี้ เพราะทุกชั่วโมงแอลกอฮอล์จะลดลงร้อย 10-15 มิลลิกรัม อย่างไรก็ตาม ขอชื่นชมตำรวจที่ดำเนินการแจ้งข้อหาดื่มแล้วขับกับผู้ขับขี่รายนี้ที่ได้รับใบอนุญาตชั่วคราว แต่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่าร้อยละ 20 มิลลิกรัม จึงถือว่าขับรถในขณะเมาสุรา

   ขณะที่ นางสาวลัดดา เฉยยั่งยืน ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นั่งท้ายกระบะ กล่าวว่า ตนสูญเสียพี่ชายจากเหตุการณ์รถเก๋งเสียหลักชนท้ายกระบะก่อนพุ่งชนรถแบคโฮ เหตุเกิดที่ไทรน้อย ถนนสาย 340 บางบัวทอง-สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2562 ขณะนี้ยังทำใจยอมรับความสูญเสียไม่ได้ ถ้าวันนั้นพี่ชาย ไม่นั่งท้ายกระบะ คงไม่เสียชีวิต แค่เสี้ยววินาทีที่เขาจะต้องเดินทางไปทำงาน เขาขอนั่งท้ายกระบะ เมื่อเกิดอุบัติเหตุจึงกระเด็นออกจากตัวรถเสียชีวิต ส่วนความคืบหน้าของคดียังไม่สิ้นสุด ต้องรอสอบว่าใครถูกผิด และงานที่พี่ชายทำเป็นงานรับเหมา ไม่ได้มีสวัสดิการอะไร จึงยากที่จะได้รับการเยียวยาจากนายจ้าง ส่วนคนขับกระบะมีเพียงไปร่วมงานเผาศพ และคู่กรณีก็ไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย

   นางสาวลัดดา กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้กรณี 17 ศพ และกรณีของพี่ชาย เป็นบทเรียนกับทุกชีวิต การนั่งท้ายกระบะเสี่ยงอันตรายมาก โดยเฉพาะคนต่างจังหวัดมักนั่งท้ายกระบะ ยิ่งใกล้เทศกาลสงกรานต์ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ กฎหมายช่วยให้สังคมดีขึ้นได้ระดับหนึ่ง แต่การมีจิตสำนึกจะลดอุบัติเหตุความสูญเสียไม่ให้เกิดขึ้น และย้ำ++อยากให้ทุกคนช่วยกันเตือนช่วยกันห้ามเวลาเจอคนนั่งท้ายกระบะ