21-01-2563

กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมหนุนนโยบายรัฐบาล โดยร่วมกับ กสศ. เดินหน้าช่วยเหลือนักเรียนยากจนพิเศษ

   นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นประธานการประชุมชี้แจง การจัดทำข้อมูลระบบคัดกรองนักเรียนยากจนเพื่อรับเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจน และเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไข หรือ ทุนเสมอภาคผ่านระบบ Teleconference (เทเลคอนเฟอเรนซ์) นายประยูร รัตนเสนีย์ กล่าวว่า ในปีการศึกษา 2563 กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกับ กองทุนเพื่อความเสมอภาค ทางการศึกษา หรือ กสศ. ขยายโครงการเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษ จากที่ดำเนินการในปีที่ผ่านมาจำนวน 10 จังหวัด เป็น 76 จังหวัด ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยคาดว่า จะมีกลุ่มเป้าหมายนักเรียนยากจนพิเศษจำนวนกว่า 97,000 คน ที่จะได้รับช่วยเหลือ ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล-มัธยมศึกษาปีที่ 3 ดังนั้น เพื่อให้นักเรียน-กลุ่มนี้ ได้รับการช่วยเหลือทันเวลา ผ่านการเปิดระบบคัดกรองตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 โดยขอความร่วมมือจากส่วนท้องถิ่น จังหวัด ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น / ผู้อำนวยการโรงเรียน และคณะครู ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านและคัดกรองนักเรียนยากจน เพื่อตรวจสอบข้อมูลของนักเรียนที่ถูกต้องครบถ้วน เพื่อไม่ให้มีเด็กนักเรียนกลุ่มเป้าหมายตกหล่นแม้แต่คนเดียว

   อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวต่อไปว่า ในปีงบประมาณ 2564 กรมส่งเสริม การปกครองส่วนท้องถิ่นยังปฏิรูปวิธีการจัดสรรเงินอุดหนุนตามแนวทาง “ดีมานด์ ไซด์ ไฟแนนซิ่ง” โดยปรับเปลี่ยนวิธีการจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อเด็กยากจนจากเดิมแบบเฉลี่ยจ่าย เป็นการจัดสรรเงินอุดหนุนแบบรายบุคคล โดยจะใช้ระบบการคัดกรองนักเรียนยากจนของ กสศ. ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อให้สามารถระบุนักเรียน ที่ยากจนจริงได้ เป็นรายบุคคล ถือเป็นการปฏิรูปการจัดสรรงบประมาณอย่างเสมอภาคให้แก่นักเรียน ในสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

   ด้าน ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า หลังจากเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมาได้มีการลงนาม MOU ความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กับ กสศ. ในการทำงานช่วยเหลือเด็กยากจนในสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเริ่มนำร่องทำงานด้วยกัน 10 จังหวัด หลังจากนี้จะเป็นก้าวต่อไปในการขยายไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ภายหลังรัฐบาล สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณโดยเพิ่มงบประมาณจาก 1,600 บาทต่อปี เป็น 3,000 บาทต่อปี พร้อมขยายกลุ่มเป้าหมายการช่วยเหลือไปถึงระดับชั้นอนุบาลอีกด้วย และอนาคตอาจขยายไปถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในอนาคต