ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กล่าวในงานเสวนา“จะใช้ชีวิตอย่างไร ในโลกยุค COVID-19” จัดโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. ร่วมกับ ราชบัณฑิตยสภา โดยกล่าวว่า เป็นระยะเวลากว่า 3 เดือน ที่ทั่วโลกเผชิญกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 ซึ่งนับว่าเป็นโรคอุบัติใหม่ ส่งผลกระทบในวงกว้างและมีแนวโน้ม ที่จะยังแพร่กระจายไปยังทั่วทุกมุมโลกอย่างต่อเนื่อง หลากหลายมุมมองหลากหลายปัญหาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่นักการแพทย์และสาธารณสุขผู้ซึ่งอยู่ด่านหน้าของสงครามเชื้อโรคนี้จะต้องหาวิธีการ ที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยและนวัตกรรม ที่เร่งค้นหาความลับที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ เพื่อทำความเข้าใจและหาทางแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ ภายใต้ภาวะความเครียดและข้อจำกัดของเวลา สิ่งสำคัญที่สังคมโลกไม่สามารถปฏิเสธได้เลยจากเหตุการณ์ระบาดครั้งนี้ คือ ผลกระทบต่อวิถีชีวิตและการดำเนินชีวิตของมวลมนุษยชาติ จะใช้ชีวิตอย่างไร ในโลกยุคนี้ การจัดกิจกรรมเสวนาครั้งนี้ จะเป็นการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนและสังคมในการใช้ชีวิตในภาวะวิกฤติการระบาดของโรค COVID-19 การลดความตื่นตระหนกและทำความเข้าใจกับสถานการณ์การแพร่ระบาด การลดความตึงเครียดและสร้างเสริมภูมิต้านทางด้านจิตใจ ความเข้าใจเอื้อเฟื้อแบ่งปันกันในสังคม การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ชุมชนเพื่อเป็นเกราะพลังทางจิตใจ การเสพข่าวที่เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและมีความเข้าใจก็จะสามารถทำให้เราสามารถผ่านวิกฤตินี้ไปได้

   ด้านศาสตราจารย์นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ภูมิคุ้มกันเป็นตัวป้องกันการติดเชื้อ เราต้องมีมาตรการป้องกันเพื่อยืดระยะเวลาเอาองค์ความรู้ในการหาสิ่งที่ทำการรักษา เช่น ยา / วัคซีน เข้ามาแก้ปัญหาและบรรเทาโรค ส่วนระยะเวลาในการระบาดของโรคโควิด -19 อาจจะมีการระบาด เป็นเวลานานและอาจกลายเป็นโรคปกติที่อาจมีอยู่ทั่วไปตามฤดูการ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ประชาชนควรทำเพื่อป้องกันในขณะนี้ คือ การล้างมือ ให้ทำจนเป็นกิจวัตร หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับใบหน้า รวมถึงอาจต้องจัดระยะห่างระหว่างบุคคลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ อาทิ เวลายืนคุยกันจะต้องมีการเว้นระยะห่างระหว่างกันที่เหมาะสม

   ทั้งนี้ ในอนาคตถ้ามีการระบาดภายในประเทศไทยการตรวจโรคจะต้องมีความรวดเร็วขึ้นเพื่อชะลอโรค ให้ได้มากที่สุด ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องมีการทำงานหนักมากขึ้น ส่วนในเรื่องการรักษาโรคคาดว่าในเร็วๆนี้จะศึกษาหาตัวยาหรือวัคซีนมาแก้ไขปัญหาจากอาการแทรกซ้อนต่างๆของโรคได้ แต่ปัจจุบันยังต้องขอให้ประชาชน ใส่หน้ากากอนามัยไปก่อนเพื่อป้องกันการติดโรค และแทนที่ทุกคนจะตื่นตระหนกเราควรเรียนรู้ให้เท่าทันโรคเพื่อที่จะอยู่ได้อย่างปลอดภัย