10-06-2563

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ร่วมกับ สำนักพิมพ์ bookscape จัดงานเสวนา

   ศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช ประธานคณะอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. กล่าวว่า จากที่ได้อ่านหนังสือ Poor Students, Rich Teaching ของ Eric Jensen สถานการณ์ของสหรัฐอเมริกาก็มีการด้อยโอกาสทางการศึกษาร้อยละ 52 ใกล้เคียงกับสถานการณ์ของไทย โดยส่วนหนึ่งของความด้อยโอกาสเกิดจากในห้องเรียนซึ่งรวมถึงห้องเรียนของโรงเรียนดี ๆ มีคุณภาพ ทั้งนี้ วงการศึกษาไทยปลูกฝังกันมานานโดยครูจะรักนักเรียนที่เรียนเก่งและชังเด็กหลังห้อง เด็กเกเร โดยหนังสือเล่มนี้น่าจะช่วยเปลี่ยนความคิดทางการศึกษาได้ เป็นโอกาสที่ดีของครูที่จะได้เรียนรู้วิธีช่วยเด็กเกเรหลังห้อง ซึ่งในหนังสือไม่ได้เป็นเฉพาะชุดความคิดแต่ยังรวมถึงชุดการกระทำที่ทำให้เด็กเกือบทุกคนบรรลุเป้าหมายนี่คือแรงบันดาลใจ ของหนังสือเล่มนี้

   ศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนหนึ่งของนักเรียนในไทยเป็นเด็กที่ขาดแคลน การสนับสนุนเชิงอารมณ์ การยอมรับตัวเองหรือพัฒนาความภาคภูมิใจทำให้การเรียนก็จะเป็นเรื่องน่าเบื่อ โดยในหนังสือ Seven vectors of development ได้มีการพูดถึง 7 ประเด็นในการพัฒนา อาทิ การพัฒนาขีดความสามารถ / การจัดการอารมณ์ / พัฒนาจากการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันไปสู่ความเป็นอิสระ / ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล / พัฒนาอัตลักษณ์ของตัวเอง / นำไปสู่เป้าหมายชีวิต และความมีคุณธรรม ซึ่งการศึกษาที่จัดอยู่ทั่วไปไม่ได้สร้างสิ่งเหล่านี้ เพราะสอนเน้นไปด้านวิชาการส่วน 7 ด้านนี้เป็นของแถมจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ แต่การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ต้องการสร้างสิ่งเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม หวังว่าจะสามารถพัฒนาการศึกษาได้โดยใช้หนังสือ Poor Students, Rich Teaching มาช่วยชี้ทาง ซึ่งมีแนวคิดวิธีการ ที่น่าจะใช้ได้ผลดี สิ่งสำคัญคือความเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ ซึ่งมีสัญชาตญาณ มีศักยภาพในการ โดยหัวใจสำคัญของการศึกษาคือเรื่องการเรียนรู้ ที่ผ่านมาการศึกษาในศตวรรษที่ 20 เน้นผลิตคนให้ออกมาเหมือน ๆ กันเพื่อไปทำงานโรงงานอุตสาหกรรมมีกฎเกณฑ์กติกาตายตัว แต่ต่อมารู้ว่าเป็นวิธีที่ล้าสมัยซึ่งการศึกษาไทย ยังไปไม่ถึงการศึกษาในศตวรรษที่ 21 แต่ก็มีความพยายามผลักดันให้เกิดขึ้น ดังนั้น 7 วิธีการจากหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นหลักปฏิบัติที่สามารถโยงเข้าสู่ประเทศไทยและสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้

   นอกจากนี้ ระบบการศึกษาที่ดีจะต้องไว้ใจครูให้เกียรติครูและต้องให้การสนับสนุนครู โดยการศึกษา ในศตวรรษ 21 ไม่มีหยุดนิ่ง ยังมีการพยายามทำความเข้าใจไปเรื่อย ๆ ในช่วง 10-20 ปี OECD ระบุว่า หัวใจในการพัฒนาคนคือ “การคิดแบบสร้างสรรค์” ที่ต้องหาวิธีจัดการเรียนการสอนซึ่งไม่ยาก หลายโรงเรียนใช้วิธีการแอคทีฟเลิร์นนิ่ง และ “ไฮเพอร์ฟอร์มมิ่ง คลาสรูม” อาทิ ครูจะต้องทำหน้าที่กระตุ้นให้เด็กเรียนรู้ หลายด้านพร้อมกัน ทั้งวิชาความรู้ นิสัยใจคอ จิตวิญญาณ จากที่ได้คุยกับทางศาสตราจารย์จากฟินแลนด์ การเรียนรู้ที่โรงเรียนเป็นการเรียนรู้ที่ไม่ถึงครึ่งของการเรียนรู้ทั้งหมด ยังมีการเรียนรู้จากพื้นที่ ชุมชน สังคม ต้องมีพื้นที่การเรียนรู้เพราะเด็กที่ฟินแลนด์เลิกเรียนบ่ายสองก็ต้องไปทำกิจกรรมเข้าชมรมที่ตัวเองสนใจ การที่จะมีพลเมืองคุณภาพสูง เราจะต้องจัดพื้นที่การเรียนรู้ไม่ใช่แค่เน้นเฉพาะการเรียนที่โรงเรียนเท่านั้น

   ด้าน ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. กล่าวว่า เรื่องเร่งด่วนทางศึกษาที่ต้องแก้ไขคือเรื่องความไม่เสมอภาค ทางการศึกษา มีเด็กด้อยโอกาส เด็กยากจนพิเศษ เสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา ซึ่งนอกจากข้อมูลจากสภาพัฒน์ ฯ ระบุว่าผลกระทบจากความยากจน และ COVID-19 ทำให้เด็ก 6.7 แสนคนเสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา อีกด้านหนึ่งยังเห็นว่ามีความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้น ข้อมูลจาก PISA 2018 ระบุว่าประเทศไทยมี ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาสูงมากอยู่ในระดับเดียวกับประเทศแถบละตินอเมริกา อาทิ ชิลี / เปรู และโคลัมเบีย พบว่ามีความแตกต่างระหว่างโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดใหญ่สูงมาก ส่วนหนึ่งมาจากการจัดสรรงบประมาณไม่เกิดการกระจายตัวที่ดีนักควรมีการสนับสนุนเพิ่มเติมให้โรงเรียนขนาดเล็กและนักเรียนยากจนพิเศษ อย่างไรก็ตาม ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนสิ่งสำคัญคือต้องทำบรรยากาศให้เกิดกวามคิดสร้างสรรค์ในห้องเรียนเด็กเชื่อมั่นในตัวเองคิดในเชิงบวก ซึ่งการจะทำได้ครูจะต้องเชื่อมั่นใจตัวเด็กก่อนว่า เด็กที่เขาสอนจะสามารถประสบความสำเร็จพัฒนาตัวเองได้ แม้แต่จะเป็นเด็กที่มีฐานะยากจน หรือมีความ ไม่พร้อมในด้านต่าง ๆ แต่ถ้า ถ้าครูมีทีศนคติดที่ดี เชิงบวกก็จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดความสำเร็จ ตรงนี้เป็น สิ่งที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จากในหนังสือ และสามารถขยายผลต่อไปในทางปฏิบัติ โดยที่จะต้องให้อิสระ โรงเรียนเรียน ครู ในการดำเนินการสอนที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อนักเรียน ไม่ใช่ยึดทำตามจากระบบของส่วนกลาง และการพัฒนาคุณภาพการศึกษาต้องเริ่มจากการพัฒนาคุณภาพครู ทั้งคุณภาพการเรียนการสอน การพัฒนามายด์เซ็ตและให้อิสระในการทำงานด้วย

   ขณะที่ รองศาสตราจารย์ ดร.อนุชาติ พวงสำลี คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ของการศึกษาคือเราไม่เคยมีความชัดเจนเรื่องปรัชญาการศึกษา จนเกิดความอ่อนแอในการผลิตและพัฒนาครู ที่ผ่านมานโยบายการศึกษาเป็นแบบบนลงล่าง การพัฒนาจึงต้องทำอย่างไรถึงจะให้ผู้เรียนเข้ามามีส่วนร่วมในห้องเรียนได้ เพราะไม่สร้างหลักสูตรเดียวที่ใช้ได้กับทุกคนได้โดยกุญแจสำคัญที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาคือคุณครู ซึ่งมีกองหน้าบุกเบิกนวัตกรรมการเรียนการสอนใหม่ ๆ แต่ต้องไปดูว่าทำไมครูเหล่านี้ไม่สามารถแสดงศักยภาพหรือความสามารถออกมาได้ตรงนี้ เป็นคำถามใหญ่ สิ่งสำคัญคือเรื่องระบบที่ต้องให้อิสระโรงเรียน ตั้งแต่การคัดเลือกครูให้เหมาะสมกับอัตลักษณ์ของตัวเองไปจนถึงอิสระในเรื่องหลักสูตร อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ได้จากหนังสือเล่มนี้มีมากมายในการพัฒนาการศึกษา สิ่งหนึ่งคือเรื่องการจัดการความสัมพันธ์เชิงอำนาจของครูกับนักเรียนซึ่งจะต้องทำให้เป็นเชิงราบ มากขึ้นจากเดิมที่ความสัมพันธ์เชิงอำนาจสูงมาก เพื่อทำให้เกิดโกรธ์ มายเซ็ต ไม่ใช่ให้นักเรียนอยู่ในบรรยากาศความหวาดกลัว โดยช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 เราเริ่มเห็นความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบ การเรียนการสอน ซึ่งการจัดการศึกษาในอนาคตตัวระบบนิเวศน์การเรียนรู้ต้องเปลี่ยนแน่นอน โรงเรียนอาจ ไม่ใช่สถานศึกษาเพียงลำพังแต่ต้องมี บ้าน และผู้ปกครองเข้ามามีบทบาทร่วมกันกับครูมากขึ้น ซึ่งที่จะต้องมีก็คือ แพลตฟอร์มที่หลากหลายรูปแบบ พื้นที่สำหรับเด็กเปราะบางยากจนพิเศษก็ต้องแบบหนึ่งเด็กในเมืองก็ต้องแบบหนึ่ง ทั้งหมดต้องมีความหลากหลายตรงกับความต้องการของผู้เรียน

   ด้าน นางสาวกุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ ประธานกรรมการบริหาร โรงเรียนต้นกล้า กล่าวว่า ที่ผ่านมาการจัดสรรงบประมาณเรื่องการศึกษาไปสร้างความเหลื่อมล้ำมากกว่าการไปอุดช่องว่าจัดการความเหลื่อมล้ำ โดยการให้งบประมาณแบบรายหัวของเด็ก โรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งมีจำนวน 1.5 หมื่นโรงเรียน มากว่าครึ่งหนึ่งของโรงเรียนทั้งหมด ทำให้แทบไม่สามารถบริหารจัดการตัวเองได้เลย ดังนั้น ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่อง การพัฒนาแค่จัดการโครงสร้างพื้นฐานก็ยังยาก ซึ่งหากเทียบกับฟินแลนด์ที่เริ่มพัฒนาการศึกษาหลังหยุดสงครามก็ไม่ได้ใช่งบประมาณจำนวนมาก แต่ของไทยยังติดเรื่องของระเบียบตัวประเมินต่าง ๆ จำนวนมาก ทั้งนี้ ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 จะพบว่าโรงเรียนขนาดเล็กมีการบริหารจัดการได้ง่ายกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่ ซึ่งหากทำให้การจัดสรรทรัพยากรสำหรับโรงเรียนขนาดเล็กมีประสิทธิภาพก็จะเกิดประโยชน์ ทำให้โรงเรียนใกล้บ้านค่อย ๆ มีคุณภาพเทียบเท่ากับกับโรงเรียขนาดใหญ่ถือเป็นการลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ ในระบบการศึกษาไทย และหากมองว่าช่วงนี้เป็นโอกาสจะสามารถทำให้เกิดการปรับเนื้อหาการเรียนการสอนมุ่งสร้างทักษะให้เด็กมากกว่าแบบเดิม ๆ ที่เคยทำกันมา ซึ่งตรงนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบการศึกษาไทยซึ่งเริ่มเห็นความคิดสร้างสรรค์ในหลายภาคส่วน โดยเราสามารถสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้หลากหลาย มากขึ้น