04-11-2563

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เดินหน้าทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง รุ่นที่ 2 มุ่งผลิตบุคลากรสายอาชีพรองรับอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 21

   ศาสตราจารย์ ดร.นักสิทธ์ คูวัฒนาชัย ประธานคณะอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการส่งเสริมนักเรียนขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสเพื่อศึกษาต่อสายอาชีพชั้นสูง กล่าวว่า กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. ได้จัดกิจกรรม “ปลุกพลัง สร้างโอกาสแห่งอนาคต กับทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ปีการศึกษา 2563” โดยมีนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงรุ่นที่ 2 เข้าร่วมกิจกรรม โดยในปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะความชำนาญเฉพาะด้านในระดับอาชีวศึกษาจำนวนมาก ทำให้สถาบันการศึกษาต้องเร่งผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นพื้นที่หลัก โดยโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง นับเป็นโครงการที่จะมาช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรสายอาชีพได้ ในปีนี้ กสศ. ดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 สามารถสร้างโอกาสให้น้องๆ ได้เรียนต่อสายอาชีวศึกษารวมทั้งสิ้นกว่า 4,700 คน จาก 47 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็นรุ่นที่ 1 จำนวน 2,000 คน และรุ่นที่ 2 จำนวน 2,700 คน มีสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ 66 แห่ง

   ศาสตราจารย์ ดร.นักสิทธ์ คูวัฒนาชัย กล่าวต่อไปว่า ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงรุ่น 2 กสศ. ได้ขยายกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมถึงเด็กที่มีความขาดแคลนทุนทรัพย์และมีความต้องการพิเศษ หรือ พิการ โดยทดลองเปิดทุนใหม่เพื่อพัฒนาหลักสูตรที่เหมาะสม ระบบในการดูแลที่เหมาะสมร่วมกับวิทยาลัย ส่วนการดำเนินการรุ่นที่ 1 ที่ผ่านมาพบว่า นักศึกษาทุนมีศักยภาพแต่มีความเปราะบางในชีวิตจากพื้นฐานครอบครัว จึงเป็นความท้าทายที่ กสศ. ต้องทำงานกับวิทยาลัยต่างๆ ในการดูแลเด็กให้มีภูมิคุ้มกันเอาตัวรอด ในสังคมได้ อยากฝากถึงนักศึกษาที่ได้รับทุนทุกคน เวลาตั้งเป้าหมายทำอะไรต้องมียุทธศาสตร์ว่าทำอย่างไร ถึงจะสำเร็จ อย่าลืมที่จะให้ความสำคัญต่อการเรียน ต้องมีวินัย เข้าใจเนื้อหา และรู้จักที่จะปรับตัว ส่วนสถาบันการศึกษาขอให้ท่านผู้บริหาร ครู อาจารย์ดูแลนักศึกษาผู้รับทุนอย่างลูกหลาน ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนนักศึกษาผู้รับทุนให้มากที่สุด

   ด้าน นายแพทย์ สุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า นักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงรุ่น 1 ที่ผ่านมาเราพบว่าเด็กที่ได้รับทุนการศึกษามีผลการเรียนดีมีเกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 3.00 หรือกว่าร้อยละ 67 ถือเป็นผลที่น่าพอใจ ดังนั้นผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรครูจึงมีส่วนสำคัญ ที่จะช่วยเหลือดูแลเด็กๆกลุ่มนี้ สำหรับการดำเนินการรุ่นที่ 2 กสศ. เชื่อว่าเด็กทุกคนมีคุณภาพ และจะมีชีวิตที่ดีหลุดพ้นจากความยากจนได้หากได้รับการศึกษา ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงมีภารกิจที่สำคัญ 2 ด้าน คือ ให้ทุนการศึกษากับเด็กเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่มีขีดความสามารถในการเรียนรู้ให้ได้รับโอกาส ทางการศึกษาอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม และจัดสรรงบประมาณให้กับสถาบันการศึกษาสายอาชีพที่เข้าร่วมโครงการไปพัฒนาการเรียนการสอนและครูให้มีคุณภาพที่สูงขึ้นในระดับอินเตอร์ เพื่อเป็นแนวหน้าในระดับอาเซียน การปฐมนิเทศนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงรุ่น 2 กสศ. จึงไม่ใช่ แค่ให้เด็กนั่งเรียนรู้ทฤษฏีและจดบันทึกเหมือนเช่นอดีต แต่จะเป็นการทำกิจกรรมเสริมสร้างทักษะความรู้ ที่รองรับกับทักษะศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่ครอบคลุมถึงหลักการเรียน การปรับตัวและ การทำงานเป็นทีม รวมถึงการเสริมทักษะการบริหารจัดการรายรับและรายจ่ายอย่างถูกต้อง เราเชื่อว่าเด็ก ที่ได้รับทุนทุกคนมีศักยภาพและความสามารถ แต่อาจขาดพลังที่จะต่อสู้จนสำเร็จการศึกษาตามเป้าหมาย ที่วางไว้เท่านั้น

   ขณะที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ชนิศา ตันติเฉลิม อาจารย์ประจำภาควิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง สำหรับผู้เรียนที่มีความพิการ กล่าวว่า โครงการ“เปลี่ยนความพิเศษให้เป็นพลัง” เป็นโครงการย่อย จากโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง เป็นโครงการส่งเสริมให้ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และมีความต้องการพิเศษ (พิการ) ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่เน้นสร้างโอกาสให้ผู้พิการ ปัจจุบันมีสถาบันอาชีวศึกษาเข้าร่วมและนำร่อง 5 วิทยาลัย อาทิ วิทยาลัยการอาชีพพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม วิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก กรุงเทพฯ / วิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ พัทยา สำหรับการทำงานสถาบันการศึกษาและกสศ.จะร่วมกันออกแบบการเรียนการสอน พร้อมเข้าไปหนุนเสริมการทำงานของวิทยาลัยเพื่อวัดความรู้เด็กให้พร้อม สู่การมีงานทำ มีระบบดูแลช่วยเหลือติดตามหลังเรียนจบการศึกษา ซึ่งหลังจากเด็กกลุ่มความต้องการพิเศษได้รับโอกาสทางการศึกษาแล้วเราจะติดตามถอดบทเรียนการทำงานอย่างรอบด้าน และหลังเก็บรวบรวมข้อมูลเด็กพิเศษมากว่า 6 เดือน เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เช่น เด็กที่ได้รับทุนต้องต่อสู้ กับอุปสรรคเป็นสองเท่าเพื่อเอาชนะข้อจำกัดของตนเอง อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาเด็กพิเศษต้องแก้ตั้งแต่เกิดซึ่งเด็กจะรู้จักตัวเองและฉายแววความโดดเด่นออกมา และมีโอกาสตอบแทนสังคมได้มากกว่าเด็กที่ได้รับการพัฒนาตอนโต