06-11-2563

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เดินหน้าทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง รุ่นที่ 2

   ศาสตราจารย์ ดร.นักสิทธ์ คูวัฒนาชัย ประธานคณะอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการส่งเสริมนักเรียนขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสเพื่อศึกษาต่อสายอาชีพชั้นสูง กล่าวว่า กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. ได้จัดกิจกรรม “ปลุกพลัง สร้างโอกาสแห่งอนาคต กับทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ปีการศึกษา 2563” โดยมีนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงรุ่นที่ 2 เข้าร่วมกิจกรรม พร้อมถ่ายทอดสดกิจกรรมไปอีก 23 สถาบันการศึกษาในพื้นที่ต่างจังหวัดทั่วประเทศ โดยในปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะความชำนาญเฉพาะด้านในระดับอาชีวศึกษาจำนวนมาก ทำให้สถาบันการศึกษาต้องเร่งผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะใน เขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นพื้นที่หลัก โดยโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง นับเป็นโครงการที่จะมาช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรสายอาชีพได้ ในปีนี้ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 สามารถสร้างโอกาสให้น้อง ๆ ได้เรียนต่อสายอาชีวศึกษารวมทั้งสิ้นกว่า 4,700 คน จาก 47 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็นรุ่นที่ 1 จำนวน 2,000 คน รุ่นที่ 2 จำนวน 2,700 คน และมีสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 66 แห่ง

   ศาสตราจารย์ ดร.นักสิทธ์ กล่าวต่อไปว่า ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงรุ่น 2 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาได้ขยายกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมถึงเด็กที่มีความขาดแคลนทุนทรัพย์และมีความต้องการพิเศษ (พิการ) โดยทดลองเปิดทุนใหม่เพื่อพัฒนาหลักสูตรที่เหมาะสม ระบบในการดูแลที่เหมาะสมร่วมกับวิทยาลัย ส่วนการดำเนินการรุ่นที่ 1 ที่ผ่านมาพบว่า นักศึกษาทุนมีศักยภาพแต่มีความเปราะบางในชีวิตจากพื้นฐานครอบครัว จึงเป็นความท้าทายที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาต้องทำงานกับวิทยาลัยต่าง ๆ ในการดูแลเด็กให้มีภูมิคุ้มกันเอาตัวรอดในสังคมได้ และฝากถึงนักศึกษาที่ได้รับทุนทุกคน เวลาตั้งเป้าหมายทำอะไรต้องมียุทธศาสตร์ว่าทำอย่างไรถึงจะสำเร็จ อย่าลืมที่จะให้ความสำคัญต่อการเรียน ต้องมีวินัย เข้าใจเนื้อหา และรู้จักที่จะปรับตัว ส่วนสถาบันการศึกษาขอให้ท่านผู้บริหาร ครู อาจารย์ดูแลนักศึกษาผู้รับทุน อย่างลูกหลาน ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนนักศึกษาผู้รับทุนให้มากที่สุด

   ด้าน นายแพทย์สุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า นักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงรุ่น 1 ที่ผ่านมา พบว่าเด็กที่ได้รับทุนการศึกษามีผลการเรียนดีมีเกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 3.00 หรือกว่าร้อยละ 67 ถือเป็นผลที่น่าพอใจ ดังนั้นผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรครูจึงมีส่วนสำคัญที่จะช่วยเหลือดูแลเด็ก ๆ กลุ่มนี้ สำหรับการดำเนินการรุ่นที่ 2 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาเชื่อว่าเด็กทุกคนมีคุณภาพ และจะมีชีวิตที่ดีหลุดพ้นจากความยากจนได้หากได้รับการศึกษา ทุนนวัตกรรม สายอาชีพชั้นสูงมีภารกิจที่สำคัญ 2 ด้าน ประกอบไปด้วย ให้ทุนการศึกษากับเด็กเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่มีขีดความสามารถในการเรียนรู้ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม และจัดสรรงบประมาณให้กับสถาบันการศึกษาสายอาชีพที่เข้าร่วมโครงการไปพัฒนาการเรียนการสอนและครูให้มีคุณภาพที่สูงขึ้นในระดับอินเตอร์ เพื่อเป็นแนวหน้าในระดับอาเซียน ดังนั้นการปฐมนิเทศนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงรุ่น 2 จึงไม่ใช่แค่ให้เด็กนั่งเรียนรู้ทฤษฏีและจดบันทึกเหมือนเช่นอดีต แต่จะเป็นการทำกิจกรรมเสริมสร้างทักษะความรู้ที่รองรับกับทักษะศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่ครอบคลุมถึงหลักการเรียน การปรับตัวและการทำงานเป็นทีม รวมถึงการเสริมทักษะการบริหารจัดการรายรับและรายจ่ายอย่างถูกต้อง

   ขณะที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชนิศา ตันติเฉลิม อาจารย์ประจำภาควิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง สำหรับผู้เรียนที่มีความพิการ กล่าวว่า โครงการ “เปลี่ยนความพิเศษให้เป็นพลัง” เป็นโครงการย่อยออกมาจากโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง เป็นโครงการส่งเสริมให้ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และมีความต้องการพิเศษ (พิการ) ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่เน้นสร้างโอกาสให้ผู้พิการ ปัจจุบันมีสถาบันอาชีวศึกษา เข้าร่วมและนำร่อง 5 วิทยาลัย อาทิ วิทยาลัยการอาชีพพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม / วิทยาลัยเทคโนโลยี ดอนบอสโก กรุงเทพมหานคร และวิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ พัทยา สำหรับการทำงานสถาบันการศึกษาและกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาจะร่วมกันออกแบบการเรียนการสอน พร้อมเข้าไปหนุนเสริม การทำงานของวิทยาลัยเพื่อวัดความรู้เด็กให้พร้อมสู่การมีงานทำ มีระบบดูแลช่วยเหลือติดตามหลังเรียนจบการศึกษา ทั้งนี้ หลังจากเด็กกลุ่มความต้องการพิเศษได้รับโอกาสทางการศึกษาแล้ว เราจะติดตามถอดบทเรียนการทำงานอย่างรอบด้าน และหลังเก็บรวบรวมข้อมูลเด็กพิเศษมากว่า 6 เดือน ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน อาทิ เด็กที่ได้รับทุนต้องต่อสู้กับอุปสรรคเป็นสองเท่าเพื่อเอาชนะข้อจำกัดของตนเองนั้น กลับมีแววตาที่แสดงออกถึงความฝันที่อยากจะเป็นมากขึ้น มีความหวัง มีกำลังใจไม่ท้อแท้ อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาเด็กพิเศษต้องแก้ตั้งแต่เกิดซึ่งเด็กจะรู้จักตัวเองและฉายแววความโดดเด่นออกมา และมีโอกาสตอบแทนสังคมได้มากกว่าเด็กที่ได้รับการพัฒนาตอนโต