16-06-2565

วช. ร่วมกับ สอวช. เผยผลสำรวจค่าใช้จ่ายและบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาไทยปี 2563 (รอบสำรวจปี 2564) พบแตะร้อยละ 1.33 ของจีดีพี

   ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. ร่วมกับสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สอวช. แถลงถึง “ผลสำรวจค่าใช้จ่ายและบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา ของประเทศไทย ปี 2563 (รอบสำรวจปี 2564)” เพื่อสะท้อนสถานภาพการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศ ผลสำรวจดังกล่าว ถือเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงสถานภาพการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา ที่จะนำไปสู่การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ และเป็นข้อมูลที่จะประกอบการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการวิจัยและนวัตกรรม การติดตามประเมินผล ตลอดจนใช้วัดศักยภาพการพัฒนาและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย

   ทั้งนี้ผลการสำรวจค่าใช้จ่ายและบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ปี 2563 (รอบสำรวจปี 2564) พบว่าประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนารวมทั้งสิ้น 208,010 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.33 ของ GDP ของประเทศ มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2562 คิดเป็นร้อยละ 7.74 โดยสัดส่วนการค่าใช้จ่ายและลงทุนเป็นภาคเอกชน ร้อยละ 68 หรือ 141,706 ล้านบาท ส่วนภาครัฐรวมถึง ภาคอุดมศึกษา รัฐวิสาหกิจ และองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร คิดเป็นร้อยละ 32 หรือ 66,304 ล้านบาท

   อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมค่าใช้จ่ายฯ ด้านวิจัยและพัฒนาของประเทศจะเพิ่มสูงขึ้นจากภาครัฐที่ใส่เม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้น แต่สัดส่วนการลงทุนของภาคเอกชน ได้ลดลงจากร้อยละ 77 ในปี 2562 เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์ Covid-19 โดย 3 อุตสาหกรรมที่ยังมีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาสูงสุด ในปี 2563 คือ อุตสาหกรรมอาหาร 32,545 ล้านบาท เนื่องจากผู้ประกอบการยังลงทุนในการวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้เป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ รองลงมา คือ อุตสาหกรรมการก่อสร้าง 11,862 ล้านบาท ซึ่งมีการวิจัยและพัฒนาวิศวกรรม การป้องกันภัย การตรวจสอบ และการระงับอัคคีภัย ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ทโฟนได้ และมีการวิจัยเพื่อพัฒนาวัสดุก่อสร้างแบบประหยัดพลังงานเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และ อุตสาหกรรมอุปกรณ์ไฟฟ้า 11,675 ล้านบาท ที่มีค่าใช้จ่ายทางด้านวิจัยและพัฒนาสูงขึ้น เนื่องจากมีการลงทุนกับเครื่องใช้ไฟฟ้า ในครัวเรือนมากยิ่งขึ้น จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการทำงานที่บ้านมากยิ่งขึ้น

   สำหรับจำนวนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา ในปี 2563 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาที่ทำงานเทียบเท่าเต็มเวลา (Full-time equivalent: FTE) รวมทั้งสิ้น 168,419 คน/ปี เพิ่มขึ้นจากปีก่อนคิดเป็นร้อยละ 1 โดยคิดเป็นสัดส่วน 25 คน/ปี ต่อประชากร 10,000 คน ซึ่งแบ่งเป็นบุคลากร ด้านการวิจัยและพัฒนาภาคเอกชน จำนวน 119,264 คน/ปี และภาคอื่น ๆจำนวน 49,155 คน/ปี หรือคิดเป็นสัดส่วนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนต่อภาคอื่น ๆ อยู่ที่ร้อยละ 71:29 โดยตั้งเป้าหมายภายในปี 2570 จะเพิ่มจำนวนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา ให้มีสัดส่วนอยู่ที่ 40 คน/ปี ต่อประชากร 10,000 คน

   ด้าน ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ตัวเลขสำรวจค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา ปี 2563 เพิ่มขึ้น แม้จะเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งเป็นเพราะภาครัฐเห็นความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาจึงใส่เม็ดเงินในด้านนี้เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทั้งนี้หากดูแนวโน้มการพัฒนาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากงบลงทุน ฯ ประมาณร้อยละ 0.2 ของจีดีพี ขึ้นมาถึงร้อยละ 1.33 ของจีดีพี ในปี 2563 ถือว่าประเทศไทยมีศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันสูง ปัจจุบันในภูมิภาคอาเซียน ตัวเลขค่าใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนาของไทย ยังเป็นรองแค่ประเทศสิงคโปร์ และภายในปี 2570 ประเทศไทย ได้ตั้งเป้าค่าใช้จ่ายหรืองบลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาอยู่ที่ร้อยละ 2 ซึ่งหากประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย คาดว่าจะทำให้ประเทศไทยสามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียนได้

   อย่างไรก็ดีในส่วนของ สอวช. ได้มีการตั้งเป้าหมายใหญ่ของประเทศที่จะขับเคลื่อนด้วยการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อววน. ให้สำเร็จภายในปี 2570 ด้วยการขับเคลื่อนประเทศไทยพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง มีกลไกหรือแพลตฟอร์มในการยกระดับฐานะทางสังคมของประชาชน มีการส่งเสริมให้เกิดบริษัทที่ใช้นวัตกรรมเป็นฐานในการทำธุรกิจมากขึ้น เพิ่มสัดส่วนแรงงานทักษะสูงรองรับภาคอุตสาหกรรม และผลักดันให้ร้อยละ 50 ของบริษัทส่งออก บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ นอกจากนี้ยังมีการขับเคลื่อนการปฏิรูปการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ใน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารจัดการ ด้านโครงสร้างระบบหน่วยงาน และด้านการส่งเสริมระบบนิเวศนวัตกรรม