05-10-2565

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ร่วมกับ 17 หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา

   ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. ให้เกียรติแสดงความยินดี ในโอกาสที่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย หรือ วว. ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่ง รวมทั้ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ วิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อประสานงานความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาครบทุกขั้นตอน โดยการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรร่วมกัน ส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ วทน. รวมถึงการพัฒนาบุคลากรสายวิชาการของทั้ง 18 หน่วยงาน เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศ

   ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ กล่าวว่า กระทรวงการ อว. มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ผนวกรวมกับศิลปศาสตร์ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ปัจจุบันรัฐบาลให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า บีซีจีโมเดล ซึ่งต้องอาศัยกลไกวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง อีกทั้งบีซีจีโมเดล ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดด กระจายโอกาส กระจายรายได้ และนำความมั่งคั่งไปสู่ชุมชนในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง นำพาประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศรายได้สูง และมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน กระทรวง อว. ถือเป็นกระทรวงแห่งปัญญา กระทรวงแห่งโอกาส เนื่องจากเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่เพียบพร้อมด้วยหน่วยงานด้านวิจัยพัฒนา สถาบันการศึกษา ซึ่งล้วนประกอบด้วย บุคลากรที่มีองค์ความรู้และทักษะที่เข้มแข็ง อยู่ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ที่ผ่านมาได้มอบนโยบายสำคัญประการหนึ่ง คือ การเร่งผลักดันและระดมสรรพกำลังจากทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมีมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาค ทำหน้าที่เป็น “อว. ส่วนหน้า” ในการประสานความร่วมมือ ทำงานในพื้นที่ร่วมกับทุกจังหวัด นำ “บีซีจี โมเดล” มาขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่เชิงพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งผลงานสำคัญที่เห็นเด่นชัดอย่างเป็นรูปธรรม คือ โครงการ U2T มหาวิทยาลัยสู่ตำบล สร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชน โดยมีมหาวิทยาลัยเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งความร่วมมือของทุกหน่วยงานในครั้งนี้จะเป็นการสานต่อผลสำเร็จจากโครงการ U2T เพื่อให้เกิดการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ไปใช้ในชุมชน ช่วยสร้างอาชีพให้กับประชาชน ช่วยเหลือชุมชนต่างๆ ให้มีการเติบโตและรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างยั่งยืน

   รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวต่อไปว่า เป้าหมายสำคัญอีกประการหนึ่งของ กระทรวง อว. คือ สนับสนุนการปฏิรูปการศึกษาในระดับอาชีวะ โดยใช้ทรัพยากรจากมหาวิทยาลัย ทั้งทรัพยากรบุคคล หรือองค์ความรู้ ร่วมกัน เพื่อพัฒนาให้อาชีวะศึกษา เป็นแนวทางสำคัญในการกำหนดแนวทางการทำงานวิจัยเพื่อประโยชน์ของประชาชน นอกจากนี้ กระทรวง อว. พร้อมที่จะส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต อาทิ การทำงานพร้อมไปกับการเรียน และได้รับวุฒิการศึกษาระดับปริญญา โดยมีการเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัย ตลอดจนการส่งเสริมความรู้ด้วยแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและยุทธศาสตร์บีซีจี เพื่อร่วมสนองแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอด การเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ด้านปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ให้กับประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ด้าน ศาสตราจารย์ (วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย หรือ วว. กล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว วว. มีความพร้อมในการสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการร่วมกับ 17 หน่วยงานพันธมิตร ด้วยองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่ วว. มีความเชี่ยวชาญมากว่า 59 ปีและได้นำไปประยุกต์ใช้เพื่อเสริมแกร่งให้กับผู้ประกอบการ รวมทั้งการพัฒนาเชิงพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนั้นยังมีโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่ครอบคลุมสาขาการวิจัยพัฒนาและการให้บริการครบวงจร ที่สามารถตอบโจทย์และแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ตามวิสัยทัศน์ของ วว. ที่ระบุว่า สร้างความเข้มแข็งให้ SME และชุมชน ผ่านระบบนิเวศนวัตกรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี อย่างยั่งยืน

   ขณะที่ รองศาสตราจารย์ ดร.สมหมาย ผิวสะอาด อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ประธาน มทร.ทั้ง 9 แห่ง กล่าวว่า ภายหลังการลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ทั้ง 18 หน่วยงานได้ประชุมหารือความร่วมมือ โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เป็นประธานในการประชุม ซึ่งมีข้อสรุป ดังนี้

1.นโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ให้มุ่งพัฒนาเป็นต้นแบบสาธิตอาชีวศึกษาให้กลุ่มประเทศ CLMV (Thai Kosen) พัฒนาให้สมุยเป็นต้นแบบเมือง BCG (ควบคู่กับจังหวัดนครสวรรค์และทุ่งกุลาร้องไห้) เน้นการทำงานแบบ Giant step ฝึกให้ทำวิจัยตั้งแต่ระดับเยาวชนในระดับพื้นที่เพื่อร่นระยะเวลา

2. ข้อหารือของหน่วยงานสนับสนุน ได้แก่

2.1 มทร. ทั้ง 9 แห่ง สนับสนุนเรื่องการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน สหกิจศึกษา เช่น การอภิบาลผู้สูงอายุ การพัฒนาเครื่องมือเครื่องจักรด้านการเกษตร (ทุ่นแรง)

2.2 มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี สนับสนุนเรื่องการเป็นพี่เลี้ยงเทคโนโลยีในพื้นที่ การสร้างทักษะ soft skill วิศวกรสังคม (การปลดล็อกศักยภาพของคนในสังคม) โดยจะขยายผลการกิจกรรมในอาชีวศึกษา และการศึกษาขั้นพื้นฐาน

2.3 มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สนับสนุนการเรียนการสอนด้านการเกษตร (หลักสูตรวิศวกรรมบัณฑิต นวัตกรรมเกษตร re-inventing) โรงเรือน evap (อีวีเอพี) การออกใบรับรองด้านการเกษตร smart farming

2.4 มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ สนับสนุนการเรียนการสอนด้านการท่องเที่ยว (มีต้นแบบการเรียนการสอนจากประเทศเยอรมนี) และการโรงแรม หลักสูตร pro-chef และการผลิตพืชผักปลอดสารพิษในโรงเรือน

2.5 สวทช. สนับสนุนการสร้าง Social Doctor โดยใช้การจัดการหลักสูตรฐานสมรรถนะ (ความรู้ ทักษะ เจตนคติ) การสร้างความมั่นใจให้พร้อมสำหรับการทำงาน การสร้างนวัตกรรมที่ใช้ต้นทุนต่ำ รวมทั้งการพัฒนาหลักสูตรอภิบาลผู้สูงอายุ หรือหลักสูตรอบรมอาชีพระยะสั้น