21-10-2565

ไทยผนึกกำลังมหาวิทยาลัยชั้นนำของอาเซียนร่วมมือพัฒนาอุดมศึกษาในยุคหลังโควิด-19 ด้านปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เผยเวทีประชุมเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน ต่างชาติชื่นชมไทยนำการปฏิรูปอุดมศึกษา ทั้งการเรียนข้ามสถาบัน ธนาคารหน่วยกิต เสน

   ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. กล่าวในการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารของเครือข่าย มหาวิทยาลัยอาเซียน และการประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยในภูมิภาคอาเซียน ที่นครเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยกล่าวว่า มหาวิทยาลัยทั้งภูมิภาคอาเซียน ได้ปรับตัวอย่างชัดเจนในช่วงการระบาดและหลังโควิด-19

   พร้อมที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาค โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างมหาวิทยาลัยชั้นนำของทุกประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้นำเสนอแนวคิดริเริ่มใหม่ในการปฏิรูปการอุดมศึกษาอย่างก้าวกระโดดและมีความก้าวหน้าอย่างมาก ถือเป็นมิติใหม่ที่นำมาใช้เป็นครั้งแรก เช่น การลงทะเบียนเรียนข้ามสถาบัน ธนาคารหน่วยกิตแห่งชาติ การปรับบทบาทของมหาวิทยาลัยให้เป็นกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในโครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบลฯ (U2T) เป็นต้น ซึ่งได้รับความสนใจโดยได้เสนอให้ขยายผลต่อจากระดับประเทศ เป็นระดับภูมิภาคอาเซียนด้วย

   ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวต่อไปว่า การประชุมเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียนครั้งนี้ เป็นการประชุมเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว เป็นเจ้าภาพ ซึ่งในการหารือกับ ดร.อุดม พรคำเพ็ง อธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทย ที่ได้สนับสนุนทุนการศึกษาแก่นักศึกษาลาวให้มาศึกษาในประเทศไทย จำนวน 700 ทุน ตามที่ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้เดินทางมาลงนามเป็นทางการกับ สปป.ลาว โดยได้เข้าพบกับท่านนายกรัฐมนตรีของ สปป.ลาว เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้เกิดความตื่นตัวอย่างมากและจะเป็นการพัฒนากำลังคนในระดับมหาวิทยาลัยครั้งสำคัญของลาว

   ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวด้วยว่า สำหรับเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน หรือ AUN (เอยูเอ็น) มีสมาชิกหลัก 30 มหาวิทยาลัยจากทุกประเทศในอาเซียน และมีสมาชิกสมทบกว่า 150 มหาวิทยาลัย โดยประเทศไทยมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, มหาวิทยาลัยบูรพา, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสมาชิกสมทบอีก 9 มหาวิทยาลัย ซึ่งในการประชุมอธิการบดีนั้น เห็นตรงกันว่ามหาวิทยาลัยต้องมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ ให้มีทิศทางที่สอดคล้องกับประเด็นสำคัญของประเทศ และภูมิภาครวมทั้งต้องมีความเป็นเลิศ ทั้งด้านวิชาการ ด้านการใช้ประโยชน์ ด้านบริหารจัดการ และด้านข้อมูล และขณะนี้ มหาวิทยาลัยได้ปรับจากการให้ความรู้ทางวิชาการเพียงอย่างเดียวไปสู่การพัฒนาทักษะที่สำคัญ และปรับจากความรู้ในศาสตร์ใดเพียงด้านเดียว ไปสู่การรู้แบบองค์รวมและบูรณาการ นอกจากนี้ได้ขยายบทบาทจากการสอนนักศึกษาระดับปริญญาตรีเป็นการศึกษาสำหรับประชาชนตลอดช่วงอายุ รวมทั้งเพิ่มเติมหลักสูตรทั้งระยะสั้น ระยะกลาง หรือ non-degree ที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้นด้วย ที่สำคัญจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับมหาวิทยาลัยในอาเซียนนั้น พบว่า มหาวิทยาลัยไทยและในอาเซียนกำลังเนื้อหอม ทั่วโลกสนใจและอยากมาร่วมมือด้วย แนวทางการปฏิรูปอุดมศึกษาที่ประเทศไทยกำลังดำเนินการนี้ จะเป็นรากฐานสำคัญในการปรับบทบาทของมหาวิทยาลัย ให้เป็นองค์กรนำในการพัฒนาประเทศและภูมิภาคให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชน