30-11-2565

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แจง การแยกวิชาประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นการเพิ่มชั่วโมงเรียน แต่เป็นการปรับการเรียนรู้ให้เข้ากับยุคสมัย พร้อมมุ่งเด็กไทยภูมิใจในประวัติศาสตร์ของชาติ

 

 นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบการแยกรายวิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์ออกมา เป็น 1 รายวิชาอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะอยู่ในร่างประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง” การบริหารจัดการโครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ และ 1 รายวิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พร้อมกับพิจารณาแนวทางขับเคลื่อนการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ปีงบประมาณ 2566 เพื่อเป็นแนวทางให้ต้นสังกัดของสถานศึกษา และสถานศึกษาสามารถจัดกิจกรรม การเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

   นางสาวตรีนุช เทียนทอง กล่าวต่อไปว่า ในการแยกรายวิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์ออกมาเป็น 1 รายวิชานั้นจะไม่สร้างความยุ่งยากในการจัดการเรียนการสอน หรือสร้างภาระงานให้แก่ครูหรือนักเรียน เพราะเราต้องการให้การเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์ไม่ใช่แค่การสู้รบของประเทศไทยในอดีตเท่านั้น แต่การเรียนประวัติศาสตร์มีอย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่นหรือแม้กระทั่งประวัติศาสตร์โลก ซึ่งการเรียนประวัติศาสตร์แบบท่องจำเหมือนที่ผ่านมาอาจไม่ใช่คำตอบของการทำให้เด็กและเยาวชนไทย ได้มีความภาคภูมิใจในความเป็นชาติเท่าที่ควร ดังนั้นโรงเรียนจะต้องมุ่งเน้นให้เด็กรุ่นใหม่ตื่นตัวกับการเรียนประวัติศาสตร์รูปแบบใหม่มากขึ้น เช่น การใช้พิพิธภัณฑ์เป็นสื่อ การใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและต่อยอดประวัติศาสตร์สู่งานอาชีพ การบูรณาการประวัติศาสตร์กับรายวิชาอื่น และการศึกษานอกสถานที่และแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ เป็นต้น การแยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมาไม่ได้เป็นการบังคับให้เด็กรักชาติ แต่ต้องการปรับการเรียนประวัติศาสตร์ของเด็กให้มีความทันสมัยและน่าสนใจเท่านั้น ซึ่งไม่ได้เป็นการเพิ่มชั่วโมงเรียน และไม่ได้กระทบกับงบประมาณ แต่เป็นการออกแบบโครงสร้างการเรียนใหม่ โดยเด็กจะเรียนเท่าเดิม แต่เน้นการศึกษาประวัติศาสตร์ เพื่อเชื่อมอดีตสู่อนาคตในมิติเศรษฐกิจสังคมและหน้าที่พลเมือง

   อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ การดำเนินการจะต้องย้ำการอบรมและพัฒนาครูเกี่ยวกับการสอนประวัติศาสตร์ ให้มากขึ้น รวมถึงการบรรจุครูใหม่จะต้องมีครูเอกประวัติศาสตร์ โดยจะมอบให้สำนักงาน ก.ค.ศ. ทำการเกลี่ยอัตราโครงสร้างการบรรจุครูประวัติศาสตร์ให้มีความเหมาะสมด้วย