นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า ที่ผ่านมาปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน เป็นปัญหาหลักในหลายพื้นที่ จึงได้เร่งแก้ปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมของประเทศไทยมีแนวโน้มลดลง ซึ่งต่อมาพบปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน โดยมีรายงานการศึกษาถึงผลกระทบต่อสุขภาพและหลายภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศ ได้เห็นตรงกันว่าจำเป็นต้องจัดการฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งระยะแรก กรมควบคุมมลพิษได้กำหนดมาตรฐาน 2.5 ไมครอน ในบรรยากาศทั่วไป ตั้งแต่ปี 2553 เป็นเครื่องมือประเมินสถานการณ์ของปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมติดตามตรวจสอบ ตั้งแต่ปี 2554 และขยายการติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดอย่างต่อเนื่องให้ครอบคลุมทุกสถานีในปี 2563 ควบคู่กับควบคุมการระบายมลพิษจากแหล่งกำเนิดการปรับปรุงมาตรฐาน การระบายมลพิษจากยานพาหนะอุตสาหกรรม และจัดทำมาตรการป้องกันและแก้ปัญหาการเผาในที่โล่ง รวมถึงการจัดทำยุทธศาสตร์การจัด การคุณภาพอากาศ 20 ปี ซึ่งมุ่งเน้นการแก้ปัญหา โดยการปรับปรุงมาตรฐานและมาตรการ เพื่อควบคุมการระบายมลพิษจากแหล่งกำเนิดต่างๆ ทั้งภาคคมนาคมและอุตสาหกรรม การเสริมสร้างองค์ความรู้ การสร้างความร่วมมือทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ในการเข้ามามีส่วนร่วมจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ และได้ประสานความร่วมมือกับต่างประเทศทั้งในระดับภูมิภาคอาเซียนและระดับสากล เนื่องจากปัญหานี้ มีแหล่งกำเนิดมาจากการขนส่ง อุตสาหกรรม และการเกษตร ที่ต้องควบคุมจากแหล่งกำเนิด ด้วยการปรับปรุงมาตรฐานการระบายมลพิษจากยานพาหนะให้เข้มงวดขึ้นตามมาตรฐาน เพื่อที่จะสามารถช่วยลดการระบายมลพิษได้

   ทั้งนี้ ผู้แทนองค์กรอนามัยโลกได้กล่าวชื่นชมการทำงานของประเทศไทยในการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้สถานการณ์คุณภาพอากาศของไทยดีขึ้นเป็นลำดับชัดเจนและจะมีความร่วมมือกับกรมคอบคุมมลพิษในด้านอื่นๆ ต่อไป