นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี การเมือง และสิ่งแวดล้อม ทำให้ประเทศไทยต้องรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และก้าวสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต ด้วยการวางแผนกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาในระยะยาว และกำหนดแนวทางการพัฒนาในทุกภาคส่วนให้ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน รัฐบาลจึงเดินหน้ากรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ควบคู่กับการกำหนดยุทธศาสตร์การเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 เพื่อก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เน้นการพัฒนาพื้นที่สีเขียวในเมืองและชุมชน ในการสร้างสมดุลของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมเมือง โดยเฉพาะเน้นทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวและดูแลรักษาต้นไม้ โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มพื้นที่ป่าร้อยละ 40 ของพื้นที่ในประเทศ และเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองและชุมชน ควบคู่กับเร่งรัดส่งเสริม ให้ประชาชนในพื้นที่ดูแลรักษาป่า ด้วยการนำแนวทางประชารัฐมาใช้ ผ่านโครงการ “การรักษา และเพิ่มพื้นที่สีเขียว” ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และส่งเสริม การปลูกต้นไม้และการปลูกป่านิเวศ และอนุรักษ์ทรัพยากรพันธุกรรมพืชให้ยั่งยืน ซึ่งจำเป็นต้องสร้างกลไกการมีส่วนร่วมนทุกภาคส่วน ทั้งภาคชุมชน /ภาคประชาสังคม /องค์กร /ภาคเอกชน /ภาคธุรกิจเอกชน /รัฐวิสาหกิจ /สถานศึกษา /ศาสนสถาน และหน่วยงานภาครัฐ ให้มีส่วนร่วมรับผิดชอบ ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อน

   อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กล่าวย้ำว่า ประเทศไทยต้องยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมของคนในเมืองและชุมชน เพราะต้นไม้ช่วยลดโลกร้อนและดูดซับก๊าซ ดักฝุ่น ควัน ไอ ที่เป็นพิษต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งปลดปล่อยก๊าซออกซิเจนที่มนุษย์และสัตว์ต้องการใช้หายใจ /ช่วยรักษาพื้นที่ให้น้ำและความหลากหลายทางชีวภาพ /ช่วยบรรเทาและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย