24-04-2562

กรมควบคุมโรค เตือนประชาชนในสภาพอากาศร้อน เสี่ยงป่วยโรคฮีทสโตรก

   นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงนี้ สภาพอากาศร้อน อบอ้าว ประชาชนอาจเจ็บป่วยจากอากาศร้อนได้ โดยเฉพาะโรคฮีทสโตรก (Heat stroke) ซึ่งเป็นภาวะวิกฤต ร่างกายไม่สามารถปรับตัวหรือควบคุมระดับความร้อนภายในร่างกายในสภาพอากาศที่ร้อนจัดได้ ซึ่งมีอาการสำคัญ ได้แก่ ตัวร้อน อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิน 40 องศาเซลเซียส หน้ามืด เพ้อ กระสับกระส่าย มึนงง หายใจเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ ชักเกร็ง ช็อก จนถึงหมดสติ และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เสียชีวิตได้ สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป มี 6 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ที่ทำงานหรือทำกิจกรรม กลางแดด เช่น ออกกำลังกาย /เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบและผู้สูงอายุ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถระบาย ความร้อนได้ดีเท่าคนหนุ่มสาว /ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง /คนอ้วน /ผู้ที่พักผ่อน ไม่เพียงพอ โดยร่างกายของคนอ้วนและผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอจะตอบสนองต่อความร้อนที่ได้รับ ช้ากว่าปกติ และผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัวได้มากขึ้น ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่สูงกว่าคนที่ไม่ได้ดื่ม ในสภาพอากาศที่ร้อนจัดแอลกอฮอล์จะถูกดูดซึม เข้ากระแสเลือดได้รวดเร็ว และออกฤทธิ์กระตุ้นหัวใจให้สูบฉีดเลือดเร็วและแรงขึ้น มีผลทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจต้องทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย อาจทำให้ช็อกและเสียชีวิตได้

   สำหรับคำแนะนำในการดูแลสุขภาพตนเอง คือ สวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ระบายความร้อนได้ดี อยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ลดหรือเลี่ยงทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงกลางแจ้งนานๆ สวมแว่นกันแดด สวมหมวก ปีกกว้าง กางร่ม ควรดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ เพื่อชดเชยการเสียน้ำในร่างกายจากเหงื่อออก หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด และไม่ทิ้งเด็ก ผู้สูงอายุ หรือสัตว์เลี้ยงไว้ในรถที่จอดไว้กลางแจ้ง เนื่องจากอุณหภูมิภายในรถจะสูงกว่าภายนอก ส่วนผู้ที่ออกกำลังกาย ควรเลือกในช่วงเช้าหรือช่วงเย็น เนื่องจากเป็นช่วง

   ที่อากาศไม่ร้อนมาก ในผู้ที่มีโรคประจำตัวหากสงสัยผู้มีอาการเจ็บป่วยจากอากาศร้อน ควรให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยให้ดื่มน้ำเย็นและเช็ดตัวด้วยน้ำเย็น ให้อยู่ในที่ระบายอากาศที่ดี ถ้ามีอาการรุนแรง หมดสติ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที ทั้งนี้ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422