14-09-2563

กรมสรรพสามิตชี้แจงการปรับขึ้นอัตราภาษียาเส้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่เกษตรกร ผู้ปลูกใบยาทั้งสองกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน

   นายวรวรรธน์ ภิญโญ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษก กรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ตามที่เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะนำชาวไร่ยาสูบร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เอาผิดกระทรวงการคลังเอื้อประโยชน์ให้บริษัทบุหรี่นอกสามารถมีระยะเวลาในการปรับตัว เพื่อการแสวงหากำไรจากประกาศกระทรวงการคลัง กรมสรรพสามิตขอเรียนชี้แจงว่าจากพระราชบัญญัติ หรือ พ.ร.บ. ภาษียาสูบ พ.ศ. 2509 จนถึง พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มีการปรับขึ้นอัตราภาษียาเส้นเพียงหนึ่งครั้ง เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2555 จากอัตราที่ 0.001 บาทต่อกรัม เป็น 0.01 บาทต่อกรัม

   นอกจากนี้ตาม พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ได้ปรับลดอัตราภาษีตามปริมาณเป็น 0.005 บาทต่อกรัม เพื่อการขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมถึงยาเส้นพันธุ์พื้นเมือง เพื่อเป็นการนำยาเส้นเข้าสู่ระบบสร้าง ความเท่าเทียม และเยียวยาให้ผู้เสียภาษีรายใหม่ที่ต้องเข้าสู่ระบบ ดังนั้นการขึ้นอัตราภาษียาเส้น ตามกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2562 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 ถือเป็นการขึ้นภาษีครั้งที่ 2 ในรอบกว่า 50 ปี ขณะที่ตลอดช่วงระยะเวลาดังกล่าว มีการปรับขึ้นภาษีบุหรี่ซิกาแรตอย่างเดียวรวม 16 ครั้ง อย่างไรก็ตามบุหรี่ซิกาแรตยังคงมีภาระภาษีมากกว่า ยาเส้นถึง 18 เท่า หรือ 1.75 บาทต่อกรัม ส่วนยาเส้นมีภาระภาษีเพียง 0.10 บาทต่อกรัม

   สำหรับการออกกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ฉบับที่ 12 พ.ศ.2563 นั้น กรมสรรพสามิต ยังคงยึดหลักความเท่าเทียมระหว่างสินค้ายาสูบ ทั้งบุหรี่ซิกาแรตและยาเส้น ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบและยาเส้น และเกษตรกรได้รับการเยียวยาจากปัญหาการขาดสภาพคล่อง ตลอดจนเพื่อให้การยาสูบแห่งประเทศไทยได้มีการปรับตัวทางธุรกิจให้สามารถแข่งขันได้และยังคงมีการรับซื้อใบยาสูบจากเกษตรกรต่อไป โดยเสนอขยายเวลาการบังคับใช้อัตราภาษีปัจจุบันของบุหรี่ซิกาแรตและยาเส้นออกไปถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 และเลื่อนการบังคับใช้อัตราภาษีใหม่ของบุหรี่ซิกาแรต และยาเส้นออกไป โดยให้เริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการช่วยบรรเทา ความเดือดร้อนแก่เกษตรกรผู้ปลูกใบยาทั้งสองกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน