14-11-2565

เวทีเสวนา อัศจรรย์นานาพรรณไม้ดอกไม้ ถอดบทเรียน ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ นักวิจัยสู่การพัฒนาพรรณไม้ดอกไม้ประดับไทย ผงาดในเวทีโลกแลกเปลี่ยนมุมมอง

   นางสุภาพร โชคเฉลิมวงศ์ ผู้อำนวยการกองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 1 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานเปิดเสวนาพร้อมกล่าวเปิดงานว่า เวทีเสวนาครั้งนี้ ถือเป็นอีกกิจกรรมที่สำคัญต่อกลุ่มงานด้านการเกษตร ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ประเทศไทยได้ค้นพบพืชพันธุ์ใหม่ ที่มีชื่อว่า เหลืองปิยะรัตน์ เป็นพืชกลุ่มกระดังงา บ่งบอกให้เห็นว่าประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งการมีพืชพันธุ์ใหม่ๆ จะเป็นการสร้างรายได้ ฐานรากทางเศรษฐกิจ กลุ่มไม้ดอกไม้ประดับให้ความสำคัญกับการคัดเลือกพันธุ์ การพัฒนาการเกษตร การปลูก การเก็บเกี่ยว ไปจนถึงการใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติหรือ วช.ในการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน

   ด้านรองศาสตราจารย์ ดร.พีรนุช จอมพุก หัวหน้าศูนย์วิจัยนิวเคลียร์เทคโนโลยี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีการใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อการพัฒนาพันธุ์พืช มานานแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นการฉายรังสีแกมม่า เพื่อให้เกิดการกลายพันธุ์และปรับปรุงพันธุ์ เช่น การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเหนียว กข.6 โดยการฉายรังสี นอกจากนี้ยังมีไม้ผล เช่น ส้มไร้เมล็ด และไม้ดอกไม้ประดับ อีกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากตลาดไม้ดอกไม้ประดับมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามความชอบของผู้บริโภค เทคโนโลยีนิวเคลียร์จะเข้ามาตอบโจทย์ให้กับสายพันธุ์ที่ดีอยู่แล้วแต่เราอยากได้พันธุ์ที่แปลกไปจากเดิม เช่น เปลี่ยนสีดอก หรือ เปลี่ยนฟอร์มดอก หรือ ถ้าเป็นไม้ใบก็เปลี่ยนสีใบให้เป็นไม้ด่าง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเป็นเทรนด์ที่มีคนสนใจกันมาก ในช่วงโควิด-19 คนหันมาปลูกต้นไม้ และเป็นเทรนด์ว่าอะไรที่ด่างจะมีราคา ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีผู้มาขอใช้บริการเป็นจำนวนมากในเรื่องนี้ โดย ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ฯ มีความร่วมมือกับ วช. ในการให้องค์ความรู้และมีการฝึกปฏิบัติในการนำพืชมาฉายรังสี เพื่อจะให้ได้พันธุ์ใหม่ๆ เกิดในตลาดต่อไป โดยพืชที่ผ่านการฉายรังสีมีความปลอดภัย เพราะปริมาณรังสีน้อยมาก

    ขณะที่ ดร.นุชรัฐ บาลลา อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ในพระราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้เข้าไปพัฒนาพันธุ์ไม้ดอก เบญจมาศและ ลีเซียนทัส โดย ลีเซียนทัส เป็นไม้ดอกที่ประเทศไทยไม่มีการปลูก แต่ถูกนำมาใช้ในงานอีเว้นท์เป็นจำนวนมาก ขณะนี้เราสามารถพัฒนาจนสามารถนำพืชทั้ง 2 ชนิดไปปลูกในภาคเหนือและในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยเฉพาะที่อ.เบตง จ.ยะลา อุณหภูมิเหมาะสม ไม่ต้องทำนอกฤดูกาล คาดหมายว่าเดือนมกราคม 2566 จะได้เห็นดอกไม้สายพันธุ์นี้ที่ อ.เบตง เป็นแหล่งผลิตที่ใหญ่ที่สุดของภาคใต้ ส่วนที่จังหวัดเลย เกษตรกรผู้ปลูกไม้ดอกภูเรือขายไม้ดอก ได้ราคาดีกว่าที่ผ่านมา จึงได้แนะนำ ลีเซียนทัส ไปทดลองปลูกเป็นไม้กระถางและไม้ตัดดอก เกษตรกรสามารถขายได้กระถางละ 100-150 บาท สร้างรายได้ในปีที่ผ่านมาถึง 60,000 บาทจากต้นทุน 20,000 บาท โดยลูกค้าจะนำไม้กระถางไปตกแต่งสวน ลักษณะฟอร์มดอก และสีสันแปลกตา คนไม่ค่อยรู้จัก ทำให้ขายได้ราคาดี จนปีนี้มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการเพิ่มจาก 3 รายเป็น 20 ราย

    ด้านผู้ประกอบการที่เข้าร่วมเสวนาต่างมีมุมมองที่ต่างออกไปอย่างน่าสนใจ โดย นายภูเบศร์ เจษฎ์เมธี รองประธานสภาดอกไม้โลกประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ผู้ประกอบการอยากจะเห็นนักวิจัย สนองความต้องการของผู้ใช้ประโยชน์จากดอกไม้ ไม่ใช่ปรับปรุงพันธุ์แต่เพียงอย่างเดียว ให้คิดถึงผู้ใช้งาน สายพันธุ์อาจไม่ต้องดีเลิศ ต้นน้ำ กลางน้ำ ควรจะช่วยเติมเต็มปลายน้ำให้แก่ผู้ประกอบการจะดีกว่า โดย อยากได้ดอกกล้วยไม้ หรือ ดาวเรืองที่มีก้านตรง หรือ ถ้าผลิตดาวเรืองที่มีก้านแข็งแรงไม่ต้องเสียบไม้จิ้มฟัน ก็ยิ่งดี อยากให้นักวิจัยเปิดใจ ทำงานให้เร็วฉับไว ส่วนเรื่องการตลาด ไม่ควรจะปล่อยให้เป็นเรื่องของกลไกตลาด เกษตรกรควรจะเป็นคนคิดเองได้ว่าจะขายอะไรดี อย่างที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ จะใช้หลัก สร้าง Original คือ ความเป็นของแท้ดั้งเดิม สร้างความแตกต่างหาความแปลกใหม่ สร้างความยั่งยืน ไม่ใช่แค่ปลูกได้ขายได้ แต่ต้องทำให้กลับมาซื้อซ้ำ งานวิจัยต้องตอบโจทย์ รวดเร็ว อย่านาน ต้องให้ทันเทรนด์ ทันความต้องการของตลาด

    ขณะที่นาย ณวิสาร์ มูลทา เจ้าของ Love Flower Farm จ. เชียงใหม่ ให้ทัศนะว่า จากงานวิจัย 3 ปี ได้เริ่มผลิตดอกไม้มากขึ้นโดยเลือก มาร์กาเร็ต และคัตเตอร์ ซึ่งเป็นไม้ดอกมหัศจรรย์ที่นำไปใช้ในงานแต่งงาน ในปริมาณมาก และเป็นการใช้ครั้งเดียวทิ้ง สามารถหาช่องทางจากดอกไม้ทั้ง 2 ชนิดได้มากมาย จนปัจจุบันผลิตดอกไม้ใน 5 อำเภอ ในจังหวัดเชียงใหม่ บนพื้นที่ประมาณ 500 ไร่ ครึ่งหนึ่งเป็นคลัสเตอร์ แต่ปริมาณยังไม่เพียงพอกับความต้อง การซึ่งก่อนโควิด-19 มีความต้องการมากถึง 800,000 กิโลกรัมต่อปี ปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลาย ความต้องการของตลาดน่าจะสูงขึ้นกว่านี้มาก นอกจากนี้ ยังเปิดการท่องเที่ยวเป็นท่องเที่ยวชุมชน ที่ Love Flower Farm จ. เชียงใหม่ โดยฤดูท่องเที่ยวเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน มีคนขอเข้าเยี่ยมชมถึง วันละ 5,000 คน แต่รองรับได้เพียงแค่ 400 คน ต้องจำกัดคนเข้าชม

   ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐพงศ์ จันจุฬา กล่าวว่า การเสวนาในครั้งนี้ ทำให้นักวิจัยและผู้ประกอบการซึ่งไม่ค่อยได้เจอกัน จึงเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้กับนักวิจัย ผู้ประกอบการและผู้ใช้ประโยชน์จากดอกไม้ได้มาเจอกันในงาน ซึ่งโดยปกติแล้ว งานวิจัยทำแล้วจะขึ้นหิ้งแต่การตลาดจะไปไม่ได้ เราไม่สามารถออกสู่ชุมชนผู้ใช้หรือท้องถิ่นได้โดยตรง การพบกันแบบนี้ก็จะทำให้เรารู้ว่า เทรนด์ดอกไม้จะเป็นแบบไหน การใช้งานในอนาคต จะเป็นอย่างไร เพื่อเป็นโจทย์มารองรับงานวิจัยที่จะเกิดมา เพราะไม้ดอกเป็นสินค้าแฟชั่น เปลี่ยนแปลงได้ ทุกฤดูกาล และตลอดเวลา ทั้งการทำไม้กระถางและการท่องเที่ยว

   ดังนั้นการมาพบกันครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้น ในการเชื่อมโยงกัน ระหว่างนักวิจัย ผู้ประกอบการ และนักการตลาด ความสวยของดอกไม้นักวิจัยอาจมองว่าสวยแต่การตลาดไปไม่ได้ ดังนั้นเวทีนี้จึงมีความสำคัญอีกเวทีที่จะตอบโจทย์งานวิจัยได้เป็นอย่างดี